|
พระพุทธรูปบูชา เริ่มมีการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๖ คือ หลังพุทธกาล
ประมาณ ๖๐๐ ปี ได้กำเนิด ณ แคว้นคาธารราฐ (คันธาระ) ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน
โดยฝีมือศิลปินช่างชาวกรีกโรมัน ซึ่งมาอาศัยอยู่ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งมสิโดเนียได้ยก
พยุหยาตราทัพ ไปตีประเทศอินเดียในครั้งโน้น
ปฏิมากรรมที่กำเนิดขึ้นมาครั้งแรกนี้ เราจึงเรียกกันตามชื่อเมืองว่า ศิลปะอินเดีย แบบ คันธารราฐ
และต่อมาอีกไม่นาน ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๖ ศิลปะแบบมถุรา ก็ได้มีการถือกำเนิดขึ้นมา
ซึ่งเป็นฝีมือช่างชาวอินเดียโดยตรง ซึ่งศิลปะใกล้เคียงกันกับศิลปะแบบคันธารราฐมากที่สุด เห็นได้จาก
ทรงผมที่ยังเกล้าเป็นมวยผม มีริ้วจีวนใหญ่ หน้าตาคล้ายรูปปั้นของมนุษย์มากที่สุด
ศิลปะอินเดียได้มีวิวัฒนาการกันมาเรื่อย ๆ มีการพัฒนาศิลปกรรมโดยไม่หยุดยั้ง ครั้งเมื่อถึงปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๗ ก็ได้เกิดศิลปะอินเดีย แบบอมราวดี ขึ้นมา อมราวดี เป็นสกุลช่างทางตอนใต้ของ
อินเดีย สกุลช่างนี้อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์อันธระ ซึ่งศิลปะแบบอมราวดี นั้นจะมี
ลักษณะแตกต่าง แยกออกจากศิลปะแบบคันธาราฐ และ ศิลปะแบบมถุรานั้น มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเม็ดพระศก หรือ ริ้วจีวร เป็นต้น
ครั้งเมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ ๘ ศิลปะอินเดียอีกแบบหนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้นมาอีก เรียกว่า ศิลปะแบบ
คุปตะ ในสมัยคุปตะนี้ถือว่าเป็นสมัยที่งานด้านศิลปกรรมมีความรุ่งเรืองมาก ไม่ว่าจะเป็นปราสาทราชวัง
และปูชนียสถานต่าง ๆ นิยมตบแต่ง ประดับประดาด้วยงานปฏิมากรรมทั้งสิ้น กษัตริย์แห่งคุปตะนั้นนับถือ
ศาสนาพราหมณ์ เท่า ๆ กับศาสนาพุทธ ศิลปะแบบคุปตะนี้ ยังได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบอมราวดี
ค่อนข้างมาก และพัฒนารูปแบบได้เลอเลิศงดงามเป็นที่สุด มีการสร้างสรรค์ปฏิมากรรมรูปแบบมากมาย
มีทั้งปั้น ทั้งแกะ และหล่อจากสัมฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ศิลปะแบบคุปตะ ก็เริ่ม
ถูกกลืนไปเรื่อย ๆ ตามสภาพสภาวะ และตามระยะเวลา
จนกระทั่งต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ก็ได้มีการกำเนิด ศิลปะแบบอินเดียขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า
ศิลปะแบบปาละ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาแบบเต็ม ๆ จากศิลปะแบบคุปตะ และมีความรุ่งเรืองไม่น้อยทาง
พุทธศาสนา และทางด้านการสร้างปฏิมากรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับพระพุทธรูป จนมาถึงราวปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ศิลปะแบบคุปตะ และศิลปะแบบปาละ ก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ จนถึงปลายพุทธศตวรรษ
ที่ ๒๔ ทั้งคุปตะและปาละ ก็ถึงจุดเสื่อมสุด แต่กลับกัน ทั้ง ๒ ศิลปะนี้ คือ คุปตะ และปาละนั้นได้รับ
การยกย่อง และมีอิทธิพลมาก ในนอกอาณาจักรของตัวเอง ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
มีความเจริญรุ่งเรืองสูง
ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ นั้น ศิลปะอินเดียได้หันมานิยมสร้างเทวรูปกันมาก
ประชาชนส่วนใหญ่หันมานับถือศาสนาพราหมณ์ ทำให้พุทธศาสนานั้นเสื่อมลงเป็นอันมาก เริ่มมีการ
แตกแยกกันทางศาสนา มีระบบการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ยุคนี้แหละครับที่ทำให้ศิลปะอินเดียที่พัฒนา
กันเรื่อย ๆ มานาน ทรุดหนักที่สุด
มาดูพระพุทธรูปของเมืองไทยกันบ้าง พระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยเรา ก็คงไม่มี
พุทธรูปศิลปะใดเก่าเกิน ศิลปะแบบทวารวดี และศิลปะแบบศรีวิชัย เป็นแน่
พระพุทธรูปศิลปะแบบทวารวดี นั้นได้ถือกำเนิดครั้งแรกราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมา
จนถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ดินแดนที่ถือกำเนิดนี้ เรียกกันว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอาณาจักร
ที่กว้างใหญ่มาก และเชื่อว่าเมืองหลวงน่าจะอยู่ที่เมืองนครปฐม เพราะพบหลักฐานทางปฏิมากรรม
และโบราณวัตถุมากมายหลายอย่าง จนเป็นที่ยอมรับว่า สถานที่แห่งนี้เป็นจุดต้นกำเนิดจริงของ
พระพุทธรูปศิลปะแบบทวารวดี
ศิลปะแบบทวารวดี ในเมืองไทยนั้น ได้กำเนิดขึ้นมาพร้อมๆ กันกับ ศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ
ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองสุด ๆ และยังทำให้สามารถส่งผลแผ่อิทธิพลของศิลปะ เข้ามาสู่อาณาจักรของ
ทวารวดีได้ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งที่มองเห็นได้ชัด คือ การมีศิลปะเป็นแบบของตัวเอง เรียกง่าย ๆ ว่า
ศิลปะแบบบริสุทธิ์
เช่น ทวารวดีนครปฐมยุคต้น เป็นสกุลช่างอินเดีย แบบคุปตะ หน้าของพระพุทธรูปจะมีเค้าหน้า
แบบอินเดีย คือ มีลักษณะกลมเรียว ได้สัดส่วน งดงามมาก
ส่วนทวารวดียุคปลาย ซึ่งพบทางภาคอีสาน หรือภาคเหนือนั้น ลักษณะของพระพักตร์องค์พระ
ส่วนใหญ่จะต่างกับทวารวดี ยุคต้น ที่พบจากเมืองนครปฐม พงตึก หรือที่ดงสักชัดเจน ซึ่งฝีมือช่าง
ทางเหนือ หรือทางอีสาน คงจะยึดเอาศิลปะบริสุทธิ์ของพื้นที่เอาไว้ ศิลปะก็เลยออกมาตามลักษณะ
ฝีมือช่างในพื้นที่นั้น ๆ
ส่วนสมัยศรีวิชัย เชื่อกันว่า กำเนิดขึ้นในราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๗
เมืองศรีวิชัยอยู่ที่ไหน? เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน บ้างก็ว่าเมืองหลวงอยู่ที่ ปาเล็ม ในเกาะสุมาตรา
บ้างก็ว่าอยู่ที่ภาคกลาง เกาะชวา บ้างก็ว่าอยู่แถบเหนือของแหลมมาลายู
แต่ที่แน่ ๆ เลย ศิลปะที่เรียกกันว่า ยุคศรีวิชัย นั้นได้พบกันหลายที่หลายแห่ง พบทั้ง
สถาปัตยกรรม ปฏิมากรรม และพระพิมพ์ต่างๆ พบทั้งที่เกาะชวา ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์
ธานี นครศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี กำแพงเพชร ศรีสัชนาลัย หริภุญชัย และที่เชียงแสน เป็นต้น
ปฏิมากรรมแบบศรีวิชัย ถือว่าเป็นศิลปะยุคหนึ่งที่มีความงดงามมาก มีการถ่ายทอดศิลปะ
และพัฒนาทางพุทธศิลป์ได้สมบูรณ์ที่สุดยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นศิลปกรรมในยุคหลัง คือ ลพบุรี
เชียงแสน สุโขทัย หรือ อู่ทอง ซึ่งได้ถ่ายทอดศิลปะกันต่อ ๆ มา ก็ยังหาเทียบได้
เห็นได้ว่า ศิลปกรรมตั้งแต่กำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก จนถึงยุคปัจจุบัน มีการถ่ายทอดศิลปะของ
แต่ละยุคกันมาเรื่อย ๆ ศิลปกรรมยุคใดที่มีความรุ่งเรืองมาก ก็อาจจะอยู่ได้นาน ๆ สามารถขยาย
อิทธิพลได้กว้างไกลขึ้น
ตรงกันข้ามหากศิลปะยุคไหน ไม่มีการพัฒนาศิลปะของตัวเอง ก็จะอยู่ได้ไม่นาน เสื่อมเร็ว
ถูกลืนไปเองในที่สุด และจะมีศิลปะอื่นเข้ามาแทนที่ทันที
นุ เพชรรัตน์
|
|
|